Linkedinเปรียบเสมือนช่องทางการสมัครงาน ที่มืออาชีพทั่วโลกต่างพร้อมใจเข้าไปกรอกประวัติส่วนตัวเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามาอ่านประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ (Resume) ของตัวเอง บอกได้เลยว่าLinkedIn คือเว็บไซต์ที่มีจำนวนผู้ใช้มากที่สุดกว่า 433 ล้านคนทั่วโลก คิดเป็นผู้ใช้ในทวีปเอเชีย 109 ล้านคนทุกวันนี้นายจ้างจากหลายองค์กร นายหน้าจัดหางาน (รีครูทเตอร์) ก็นิยมใช้ LinkedIn เป็นแหล่งข้อมูลเสาะหาผู้สมัครที่ตรงตามความต้องการ
2. ชื่อและช่องทางการติดต่อควรใช้ชื่อจริง พร้อมนามสกุล เพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นหาของนายจ้าง ช่องทางการติดต่อเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญมาก ถ้ารูปโปรไฟล์ดี ประสบการณ์ทำงานตรง แต่ไม่มีเบอร์โทรศัพท์อีเมล์ให้ติดต่อ เริ่มต้นไว้ดีแต่กลับต้องมาตกม้าตายตอนจบ
3. พาดหัวอธิบายความเชี่ยวชาญของคุณ (Profile Headline)เลือกข้อความที่บอกความเป็นตัวคุณได้ดีที่สุด เลือกใช้คำพูดที่มีคำเป็น Key Word ที่คนจะหาคุณเจอได้ง่ายที่สุด
4. อุตสาหกรรม (Industry)เลือกใส่อุตสาหกรรมที่ตรงกับองค์กรที่คุณทำงานอยู่
5. ตำแหน่งที่คุณอยู่ (Location)เลือกให้ตรงตามสถานที่ที่คุณอยู่จริง เพื่อที่ข้อมูลของคุณจะได้แสดงขึ้นมาเมื่อนายจ้างพยายามเสาะหา
6. ข้อมูลสรุป (Summary)เลือกสรุปข้อมูลของคุณแบบกระชับ เข้าใจง่าย บอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์โดยรวมไว้ประมาณหนึ่งย่อหน้า
8. ทักษะ (Skills)เลือกทักษะที่ถนัด (ทาง LinkedIn มีให้เลือกคลิกมาใส่มากมาย) สามารถใส่ได้ตั้งแต่ 3 ไปจนถึง 50 ทักษะ
9. การกำหนดค่าโพรไฟล์สาธารณะ (Manage public profile settings)ต้องไม่ลืมตั้งค่าโปรไฟล์สาธารณะให้สามารถมองเห็นข้อมูลที่สำคัญได้ เพื่อที่นายจ้างหรือรีครูทเตอร์จะได้ติดต่อได้นั่นเอง
ในโลกยุคที่ อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาท คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การหางานจะต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย ต้องรวดเร็ว เข้าถึง และอัพเดตข้อมูลอยู่ตลอดเวลา LinkedIn จึงเปรียบเสมือนช่องทางที่เปิดให้คนภายนอก หรือบริษัทต่างๆสามารถเข้ามาดูประวัติการทำงานของคุณได้ นับเป็นการเปิดโอกาสสำคัญที่จะทำให้คุณได้งานที่เหมาะสมอย่างคาดไม่ถึง เพราะฉะนั้นอยากให้คุณทำตามเทคนิคทั้ง9ข้อนี้ และหมั่นอัพเดทอย่างสม่ำเสมอ LinkedIn ของคุณก็จะโดดเด่นและมีงานวิ่งเข้าหาคุณอย่างแน่นอน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น